วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

ที่ 4 ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญา (Cognitive Theories)

Inside Out


“Do you ever look at someone and wonder what is going on inside their head?”
คุณเคยมองใครซักคนแล้วสงสัยหรือเปล่า ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในหัวของเค้า ?

    ในตัวมนุษย์ทุกคน มีอารมณ์หลักๆอยู 6 แบบ คือ ความกลัว (Fear), ความประหลาดใจ (Surprise), ความขยะแขยง (Disgust), ความสุข (Joy), ความเศร้า (Sadness), ความโกรธ (Anger)
ซึ่งผู้สร้างหนังอนิเมชั่นนำอารมณ์ทั้ง6 มาสร้างเป็นตัวละคร ได้เป็น ลั้นลา ลั้นลา(ความสุข) เศร้าซึม(ความเศร้า) หยะเเหยง(ความขยะเเขยง) ฉุนเฉียว(ความโกรธ) โดยผู้สร้างได้ร่วมความกลัวเเละความประหลาดใจเข้าด้วยกัน กลายเป็น กลั๊วกลัว(ความกลัว)
     ตัวเอกของเรื่อง คือ ไรลีย์ เด็กหญิงอายุ11 ปี ผู้ร่าเริงเเจ่มใส เเละมองโลกในเเง่ดีเสมอ ซึ่งภายในหัวของเธอจะประกอบด้วย 5 ตัวอารมณ์ที่คอยควบคุมการกระทำเเละความรู้สึกของไรลีย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกควบคุมโดยลั๊นลา(ความสุข) ทำให้เธอเป็นเด็กที่มีความสุขเสมอ ในทุกการกระทำของไรลีย์จะถูกเก็บเป็นลูกบอลความทรงจำ ความทรงจำเหล่านั้นเมื่อครบวันจะถูกเก็บไปยังส่วนของความทรงจำหลัก ซึ่งความทรงจำหลักนี้เองที่จะส่งผลต่อบุคลิกภาพในเเต่ละด้านของไรลีย์


    เเละเเล้วเรื่องวุ่นวายก็เกิดขึ้น เมื่อเศร้าซึม(ความเศร้า)เข้ามายุ่งกับความทรงจำแห่งความสุข จากที่ไรลีย์เคยมีความสุขเมื่อนึกถึงความทรงจำนั้นๆก็กลับกลายเป็นความเศร้า ลั๊นลาพยายามจะย้อมสีความทรงจำให้กลับมาดังเดิม จนลั็นลาเเละเศร้าซึมถูกดูดเข้าไปในท่อแห่งการนึกถึง ซึ่งเชื่อมไปยังที่เก็บความทรงจำระยะยาว ลั๊นลาเเละเศร้าซึมจึงต้องหาทางกลับไปยังสำหนักงานใหญ่ให้จงได้


    เมื่อลั๊นลาหายไป ความวุ่นวายในสำนักงานใหญ่ก็ได้เกิดขึ้น เหล่าอารมณ์ที่เหลือเข้ามาควบคุม หากเเต่ความวุ่นวายเหล่านั้น ได้ทำให้ไรลีย์เติบโตมากขึ้น เข้าใจอารมณ์ด้านต่างๆของตัวเองมากขึ้น เข้าใจว่าชีวิตของคนเราไม่ได้มีความสุขเพียงอย่างเดียว เราต้องรู้จักปรับใจ ให้เข้ากับสถาณการณ์ที่เปลี่ยนเเปลงได้อย่างกลมกลืน ช่วยพัฒนา E.Q. และเตรียมไรลีย์ให้พร้อมต่อการเปลี่ยนเเปลงในอนาคต

สิ่งที่ได้จากการดูหนังอนิเมชั่น Inside Out

    ตอนเป็นเด็กเราทุกคนจะเเสดงออกไม่ซับซ้อน รู้สึก สนุก เศร้า โกรธ กลัว ก็เเสดงออกมาตรงๆ แต่เมื่อเราโตขึ้น การเเสดงอารมณ์ของเราก็ซับซ้อนตามไปด้วย  ซึ่งเราจะต้องทำความเข้าใจ เเละพยายามปรับใจให้เข้ากับการเปลี่ยนเเปลงให้ได้ เราจะไม่รู้จักความสุขหากไม่เคยที่จะเศร้า เพราะความสุขเเละความเศร้าจะมาด้วยกันเสมอ

ความเกี่ยวข้องกับทฤษฎี
1.ทฤษฎีพัฒนาการเชาว์ปัญญาของเพียเจต์

เพียเจต์เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมที่จะปฏิสัมพันธ์ ในพัฒนาการเชาวน์ปัญญาบุคคลต้องมีการปรับตัวซึ่งประกอบด้วยกระบวนการสำคัญ  2 อย่าง  คือ การดูดซึมหรือซึมซาบเข้าสู่โครงสร้างทางปัญญา  (Assimilation) และ การปรับโครงสร้างทางสติปัญญา  (Accomodation)  เพียเจต์ กล่าวว่า  ระหว่างระยะเวลาตั้งแต่ทารกจนถึงวัยรุ่น  คนเราจะค่อยๆสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้นตามลำดับขั้นไรลีย์ก็เช่นกัน ตอนเด็กๆไรลีย์มีเเต่ความสนุก สดใสร่าเริง มองโลกในเเง่ดี เเต่เมื่อไรลีย์ย้ายบ้านใหม่ เจอสิ่งเเวดล้อมใหม่ๆ ก็จะเกิดต่อต้านก่อนจะค่อยๆปรับตัวได้ ดังในตอนท้ายของเรื่อง

2. ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบของบรูเนอร์

ไรลีย์จะแสดงพัฒนาการทางสมองด้วยการกระทำ และดำเนินต่อไปเรื่อยๆตลอดชีวิต เรียกว่า Enactive Mode เป็นวิธีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยการจับต้อง เช่น ผลัก ดึง จับ การเล่นกีฬาของไรลีย์ นอกจากใช้ประสาทสัมผัสแล้วเด็กยังสามารถถ่ายทอดด้วยภาพในใจของเค้า เมื่อไรลีย์สามารถที่จะสร้างจินตนาการได้ เด็กก็สามารถรับรู้สิ่งต่างในโลกได้ด้วยการใช้ Iconic Mode


3. ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของอองซูเบล

ไรลีย์ ที่เคยเล่นกีฬามาแล้วจะสามารถจำวิธีการเล่นได้โดยไม่ต้องจดจำ เป็นการเชื่อมโยงสิ่งที่เป็นความรู้ใหม่กับหลักเกณฑ์เดิมที่เคยสร้างมาแล้ว


4. ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ

ไรลีย์ มีการทำงานกระบวนการต่างๆในการประมวลสารสนเทศ เช่น ความใส่ใจ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรู้จักคิดของตนเอง (Metacognition)




วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรม (Behavioral Theories)

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรม
(Behavioral Theories)

การเรียนรู้ 
คือ การเปลี่ยนเเปลงพฤติกรรมซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจากประสบการณ์ที่คนเรามีปฏิสัมพันธ์กับ
สิ่งเเวดล้อม

กลุ่มพฤติกรรมนิยม(ฺBehaviorism หรือ S-R Associationism) ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า(Stimulus) กับการตอบสนอง(Response) หรือ พฤติกรรมที่แสดงออกมา ในแนวคิดของกลุ่มพฤติกรรมนิยมเชื่อว่า การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองหรือการเเสดงพฤติกรรมนิยม และถ้าหากได้รับการเสริมเเรงจะทำให้มีการแสดงพฤติกรรมนั้นถี่มากขึ้น 

นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมได้จำเเนกพฤติกรรมมนุษย์ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
          1.พฤติกรรมเรสปอนเดนส์ หมายถึง พฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยสิ่งเร้า ซึ่งจะสามารถวัดเเละสังเกตได้
          2.พฤติกรรมโอเปอร์เเรนด์ หมายถึง เป็นพฤติกรรมที่คน หรือสัตว์เเสดงพฤติกรรมตอบสนองออกมา โดยปราศจากสิ่งเร้าที่แน่นอน

ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขเเบบคลาสสิก(Classical Conditioning Theory)

เเนวคิดของพาฟลอฟ (Pavlov)
พาฟลอฟเป็นนักสรีรวิทยาชาวรัสเซียได้สังเกตสุนัขที่มีน้ำลายไหลเมื่อเจออาหาร พาฟลอฟสนใจในในพฤติกรรมน้ำลายไหลน้ำลายไหลก่อนได้รับอาหารของสุนัขมาก จึงคิดทำการศึกษาเรื่องนี้และทำการวิจัยอย่างละเอียด






การทดลองที่ทำให้สนุขน้ำลายไหลเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง

   สรุปว่า สุนัขเกิดการเรียนรู้ จากครั้งเเรกสุนัขไม่มีปฏิกิริยาใดๆกับเสียงกระดิ่ง แต่เมื่อเกิดการเรียนรู้ว่าถ้าได้ยินเสียงกระดิ่งจะได้ผงเนื้อ ครั้งต่อๆมาสุนัขจะมีปฏิกิริยาต่อเสียงกระดิ่ง คือน้ำลายไหล ซึ่งนั้นคือการเปลี่ยนเเปลงพฤติกรรมหรือการเกิดการเรียนรู้นั่นเอง

แนวคิดของวัตสัน(Watson)

   วัตสันเป็นบิดาของจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม ซึ่งได้ทำการทดลองเกี่ยวกับการวางเงื่อนไขเเบบคลาสสิกกับมนุษย์ โดยศึกษาเรื่องความกลัว ซึ่งสรุปผลการทดลองกับทารกอายุ 8-9 เดือน ทารกในวัยนี้จะกลัวเสียงดังหากเเต่ไม่กลัวสัตว์ประเภทหนู โดยวัตสันได้ปล่อยให้ทารกเล่นกับหนู ในขณะที่ทารกเอื้อมมือไปจับหนูให้ผู้ทดลองใช้ฆ้อนเคาะแผ่นเหล็กให้เกิดเสียงดังขึ้นเมื่อทำติดต่อกัน7ครั้งในหนึ่งสัปดาห์ปรากฏว่าหลังจากนั้นเพียงทารกเห็นหนูทารกก็จะเเสดงความกลัวทันที


ต่อมาวัตสันได้แก้ความกลัวหนูของทารกด้วยการให้มารดาของทารกอุ้มในขณะที่ผู้ทดลองยืนหนูในทารก ตอนเเรกทารกจะร้องไห้กลัวแต่หลังจากที่เเม่ปลอบว่าไม่มีอะไรน่ากลัว พร้อมกับเเม่ลูบตัวหนู จนในที่สุดทารกก็เลิกกลัวหนู ซึ่งภายหลังเเพทย์ได้นำวิธีการนี้มาใช้รักษาคนไข้ที่มีความกลัวสิ่งแปลกๆ

ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบลงมือกระทำ(Operant Conditioning Theory)

แนวคิดของธอร์นไดค์ (Thorndike)
ธอร์นไดค์เชื่อว่า การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้จากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง อีกทั้งให้ความสำคัญต่อการเสริมเเรง ที่จะทำให้ได้รับการตอบสนองเพิ่มขึ้น โดยเน้นการให้รางวัลมากกว่าการลงโทษ
ธอร์นไดค์ได้ทำการทดลองดังนี้

ธอร์นไดค์ได้สร้างสถานการณ์โดยจับเเมวที่กำลังหิวใส่กรงที่มีสลักปิดไว้ และนำจานอาหารวางไว้นอกกรง ในการทดลองเเมวจะเดินไปเดิมมา และพยายามหาทางออกมากินอาหารข้างนอก บังเอิญไปจับสลักทำให้ประตูเปิด เเมวสามารถออกมากินอาหารได้ ซึ่งธอร์นไดค์ได้เรียกการเรียนรู้ของเเมวว่า "การเรียนรู้เเบบลองผิดลองถูก" และจากผลการทดลองทำให้ธอร์นไดค์ได้สรุปเป็นกฏแห่งการเรียนรู้ไว้ดังนี้

 กฏเเห่งการเรียนรู้
1.กฏเเห่งผล (Law of Effect)
2.กฏแห่งความพร้อม (Law of Readiness)
3,กฏแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise)
4,กฏแห่งการใช้ (Law of Use and Disuse)

แนวคิดของสกินเนอร์ (Skinner)

   แนวคิดของสกินเนอร์สอดคล้องกับธอร์นไดค์เกี่ยวกับการเสริมเเรง เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ แต่จะแตกต่างกันที่ว่า สกินเนอร์คิดว่าการเชื่อมโยงจะเกิดขึ้น ระหว่างรางวัลกับการตอบสนอง ไม่ใช่สิ่งเร้ากับการตอบสนองตามเเนวคิดของธอร์นไดค์

การเสริมเเรง

การเรียนรู้เเบบ Operant Conditioning นั้น ผู้เรียนต้องลงมือกระทำเอง มิใช่เป็นการเเสดงพฤติกรรมเนื่องจากสิ่งเร้าภายนอกมากระตุ้น โดยสกินเนอร์ได้เเบ่งการเสริมเเรงออกเป็น 2ประเภท คือการเสริมเเรงทางบวกและการเสริมเเรงทางลบ
   
    การเสริมเเรงทางบวก คือ สภาพการณ์ที่ช่วยให้พฤติกรรมโอเปอเเรนต์เกิดขึ้นอีก ซึ่งจะเเตกต่างกับการให้รางวัล การเสริมเเรงทางบวกจะต้องส่งผลให้บุคคลเเสดงพฤติกรรมซ้ำๆอีก และมีการเเสดงพฤติกรรมนั้นอย่างถาวร
    
    การเสริมเเรงทางลบ คือ การเปลี่ยนสภาพการณ์เพื่อเพิ่มความคงทนของการเเสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ โดยการงด หรือดึงเอาสิ่งเร้าที่ผู้เรียนพึงพอใจออกไป แต่ไม่ใช่การลงโทษ

สกินเนอร์ได้เเบ่งการให้เเรงเสริมออกเป็น 2 รูปแบบ คือ การเสริมเเรงทุกครั้ง และการเสริมเเรงเป็นครั้งคราว












วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558

บทที่1 นวัตกรรมเเละเทคโนโลยีการศึกษา(ตอบคำถามท้ายบท)

1.  MOOCs (Massive Open Online Courses) ถือว่าเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาประเภทใด เเละเพราะอะไร

ตอบ เป็นนวัตกรรมด้านสื่อการสอน เพราะ MOCCs  เป็นการนำเทคโนโลยีและวิธีการสอนสมัยใหม่มาผสมผสานกัน ทำให้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ผ่านช่องทางออนไลน์  ซึ่งสิ่งที่ MOCCs มีนอกเหนื่อจากสื่อการสอนปกติ อย่าง VDO หนังสือ แบบฝึกหัด คือมี Forum ให้ผู้เรียนเเลกเปลี่ยนสนทนาระหว่างผู้เรียนด้วยกัน หรือผู้สอนได้

2.  ประเภทของนวัตกรรมทางการศึกษาเเบ่งออกได้กี่ประเภทเเละเเต่ละประเภทมีข้อดีอย่างไร

ตอบ   5 ประเภท
 1.นวัตกรรมหลักสูตร
    = ช่วยให้มีวิธีการใหม่ๆในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้หลักสูตรสอดคล้องกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี,เศรษฐกิจ,สังคมประเทศและของโลก ซึ่งต้องอาศัยเเนวคิดเเละวิธีการใหม่ๆ เข้ามาช่วยเหลือ

 2.นวัตกรรมการเรียนการสอน
    =ใช้ปรับปรุงเเละคิดค้นพัฒนาวิธีการสอนรูปแบบใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองต่อผู้เรียนได้ ซึ้งต้องอาศัยวิธีการเเละเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาช่วย

3.นวัตกรรมสื่อการสอน
   =สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตสื่อการเรียนการสอนใหม่ๆ ทั้งด้านเรียนด้วยตนเอง เรียนเป็นกลุ่ม ตลอดจนสนับสนุนการฝึกอบรม ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์

 4.นวัตกรรมการประเมินผล
    = นำไปใช้เพื่อพัฒนาการวัดผล ประเมินผล เพื่อให้มีประสิทธิภาพเเละรวดเร็ว

5.นวัตกรรมการบริหารจัดการ
   = เป็นการใช้สาระสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ เช่น การจัดการฐานข้อมูลในหน่วยงาน ซึ่งต้องการระบบที่สมบูรณ์และมีความปลอดภัยสูง

3.  สมมุติว่านักศึกษาไปเป็นครูประจำการ นักศึกษาจะนำนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีการศึกษาใดเข้ามาช่วยในการจัดการในเรื่องความเเตกต่างระหว่างบุลคล (Individual Different) ของผู้เรียนที่นักศึกษาได้ไปสอนเเละเพราะเหตุใดจึงเลือกนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีการศึกษานั้น

ตอบ นวัตกรรมด้านสื่อการเรียนการสอน คือ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ CAI : Computer Assisted Instruction เพราะเราจบไปเป็นครูสอนวิชาคอมพิวเตอร์ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับเทคโนโลยี จึ่งใช้เลือกคอมพิวเตอร์เป็นสื่อ  เพราะผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามอัตราความเร็วของเเต่ละคนโดยไม่ต้องเร่งให้ทันเพื่อนหรือรอเพื่อนคนอื่นๆ โดยมีครูคอยช่วยให้คำแนะนำ หรืออธิบายในส่วนที่นักเรียนมีข้อสงสัยเป็นรายบุคคล

4.  ทำไมนักศึกษาวิชาชีพครูจึงต้องรู้เเเละเข้าใจในเรื่องนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีการศึกษา

ตอบ การพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพนั้นนักศึกษาวิชาชีพครูจะต้องพยายามค้นคว้าวิธีการใหม่ๆ ในรูปแบบต่างๆเพื่อสามารถนำไปใช้กับนักเรียนได้อย่างถูกต้อง

5.  นักศึกษายกตัวอย่างนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีทางการศึกษาที่ได้รับความนิยมอย่างเเพร่หลายในปัจจุบันพร้อมทั้งอธิบายข้อดีเเละข้อจำกัด ของนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีทางการศึกษานั้นๆมา1ประเภท

ตอบ ใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI : Computer Assisted Instruction)
        ข้อดี ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เร็วขึ้นตามศักยภาพของตน บรรยากาศการเรียนมีความสนุกสนาน เรียนได้ทุกเวลาที่ตัวนักเรียนต้องการ และประหยัดงบประมานในการผลิตสื่อในรูปแบบอื่นๆ
        ข้อด้อย การจะออกแบบ จัดทำ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จะต้องอาศัยความชำนาญของผู้จัดทำ ในการระดมความคิดเพื่อที่จะสร้างสือออกมา และใช้เวลานานในการพัฒนาตัวสื่อการเรียนการสอน